เหนือความตาย...จากวิกฤตสู่โอกาส
เขียนโดย แม่จา
อาทิตย์, 17 สิงหาคม 2008
ผู้เขียน พระไพศาล วิสาโล
ผู้จัดพิมพ์ โครงการเผชิญความตายอย่างสงบ
โทร.0-2866-2721-2 email: อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปเพื่ออ่านมันได้ www.budnet.info
ราคา 120 บาท
หลายเดือนมานี้มีคนที่แม่จารู้จักโดยตรงและคนที่เป็นญาติของคนที่รู้จักหลายคนเสียชีวิต บางคนก็ตายในวัยชราแต่บางคนก็ตายก่อนวัยอันควร แม่จาเห็นบางคนที่พ่อแม่ป่วยด้วยโรค (มะเร็ง) อยู่ในขั้นสุดท้าย ลูกหลานก็พยายามยื้อให้ใช้เครื่องช่วยต่างๆนานา ทั้งๆที่ไม่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นได้ เมื่อสัปดาห์ก่อนก็รู้ข่าวว่าแม่ค้าขายข้าวแกงแถวบ้านอายุแค่ห้าสิบต้นๆ ดูก็แข็งแรงดี ตายกะทันหันด้วยโรคความดันโลหิตสูง
ความตายคือสิ่งที่แน่นอนสำหรับทุกชีวิต ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย เพียงแต่จะตายเร็วหรือช้าเท่านั้น แต่หลายคนอยู่บนโลกนี้พยายามกอบโกยเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นของตัว เอาเปรียบผู้อื่น มีสมบัติมากมายก็ไม่รู้จัก
คำว่าพอ เค้าคงลืมไปว่าคนเราในที่สุดก็ต้องตาย และที่สำคัญไม่มีใครเอาอะไรติดตัวไปได้ในวันสิ้นลม
วันก่อนขับรถไปกับครอบครัวมีพี่น้อง (เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกัน) นั่งอยู่ในรถด้วยก็คุยกันถึงคนบางคนในประเทศเราที่โลภแบบไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็คุยกันไปถึงเศรษฐีระดับโลกคนหนึ่งที่ชื่อ Warren Buffet เค้าเป็นคนที่ทำให้ Bill Gates อภิมหาเศรษฐีของโลกหยุดคิดแล้วเริ่มที่จะทำงานเพื่อสาธารณกุศล เหตุการณ์เริ่มจากแม่ของ Bill Gates อยากให้ลูกนำเงินที่มีอยู่มากมายเพื่อคืนกลับให้สังคม แม่จึงนัดให้ Bill Gates ได้พบและคุยกับ Warren Buffet ทีแรก Bill Gates ก็คิดที่จะคุยเพียงแค่ 30 นาที เพื่อตัดรำคาญการรบเร้าจากแม่ Bill Gates บอกว่าการเจอกับ Warrant Buffet ในวันนั้นเค้าได้คุยกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง และก็เป็นจุดเปลี่ยนความคิด ให้หันมาเริ่มตั้งมูลนิธิ Bill & Melinda Gates เพื่อทำงานสาธารณกุศล
ในปี 2006 Warren Buffet ได้บริจาค 85% ของหุ้นซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัวให้กับองค์กรการกุศล 5 แห่ง โดยบริจาคให้กับ Bill & Melinda Gates Foundation มากที่สุดมูลค่าโดยประมาณ 30 พันล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าจริงแปรผันตามราคาหุ้นที่อนุญาตให้ขายภายใน 5 ปี) เราก็คิดต่อกันว่าทำไม Warren Buffet ถึงนำเงินบริจาคให้มูลนิธิ Bill & Melinda Gates มากกว่ามูลนิธิของตัวเอง มีบทสัมภาษณ์ Warren Buffet ในนิตยสาร Fortune ว่าเพราะเค้าเชื่อในศักยภาพของ Bill Gates และทั้งสามีภรรยาคู่นี้ก็ลงไปทำงานสาธารณกุศลอย่างจริงจัง นั่นก็เป็นส่วนสำคัญ แต่ที่เราคิดกันว่าประเด็นที่สำคัญกว่าก็คือ Warren Buffet ไม่ยึดติดกับทรัพย์สิน ชื่อเสียง ของตัวเอง ซึ่งหาได้ยากในผู้คนที่ถูกเรียกว่าเป็นอภิมหาเศรษฐี (แม่จาคิดว่า Warrant Buffet ก็คงเชื่อว่าในที่สุดตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้เค้าจึงได้ตัดสินใจทำอย่างนี้) เราก็คุยกันต่อว่า แล้วเราอยากจะให้คนระลึกถึงเราอย่างไรเมื่อเราจากไป
เขียนมาเสียยาวยืด ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับหนังสือ ?เหนือความตาย? แต่ก็อยากจะเล่าให้ฟังเพราะการไม่ยึดติดจะทำให้เราเป็นอิสระ ไม่ตายอย่างทุรนทุราย ขออนุญาตคัดลอกบทความในหนังสือเล่มนี้มาให้อ่านหากสนใจจะซื้อก็ติดต่อเบอร์โทรที่ให้ไว้ข้างต้น
คัดลอกจากหนังสือ ?เหนือความตาย?หน้า 51-52
......?ทัศนะเรื่องความตายนั้นมีอิทธิพลต่อสังคมของเราและแบบแผนการใช้ชีวิตของเรามาก ดังที่ได้กล่าวไว้แต่ต้นแล้วว่า เดี๋ยวนี้ผู้คนอยู่อย่างลืมตาย ทั้งนี้ก็เพราะสังคมปัจจุบันเห็นความตายเป็นเรื่องน่ากลัว ดังนั้นจึงพยายามปกปิดซ่อนเร้น ยิ่งเห็นความตายว่าเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตด้วยแล้ว ก็เลยยิ่งกลัว พยายามลืมเรื่องนี้และหมกมุ่นกับการเสพสุข แต่ไม่ว่าจะพยายามปิดหูปิดตาและหลีกหนีความตายอย่างไร ในที่สุดเราก็ต้องเผชิญกับความตายอยู่นั่นเอง คำถามก็คือ เมื่อถึงตอนนั้นเราจะเผชิญกับความตายอย่างไร เผชิญด้วยความสงบ หรือด้วยความทุรนทุรายและสะพรึงกลัว
ถึงที่สุดความตายเป็นเรื่องใกล้ตัวอย่างยิ่ง เพราะเรามีโอกาสตายทุกวินาที และอันที่จริงแล้วความตายเกิดขึ้นกับเราทุกขณะ เซลล์ต่างๆในร่างกายตายตลอดเวลา แต่ก็มีเซลล์ใหม่มาแทนที่ จึงดูเหมือนว่าร่างกายของเรานั้นคงที่ แท้จริงแล้วร่างกายของเราขณะนี้กับเมื่อสิบปีก่อน เป็นคนละร่างก็ว่าได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งร่างของเราเมื่อสิบปีก่อนได้ตายไปแล้ว และมีร่างใหม่มาแทนที่ จิตของเราก็เช่นกัน มีการเกิดดับตลอดเวลา แต่มีความสืบเนื่องกันจึงดูเหมือนว่าเป็นจิตที่คงที่คงตัว การเข้าใจแบบนี้ทำให้เห็นจิตเป็นตัวเป็นตน แต่ที่จริงไม่ใช่
แต่ความตายหรือแตกดับแบบทุกขณะจิตนั้นไม่สำคัญสำหรับเราเท่ากับความตายชนิดที่เหลือแต่ร่างกายที่ไร้วิญญาณ คำถามคือเราจะทำอย่างไรกับความตายแบบนี้ ถ้าเรารู้จักความตายดีพอ เราย่อมเผชิญกับความตายด้วยใจสงบได้ แต่ความที่คนสมัยนี้ไม่พยายามทำความรู้จักกับความตายคือเห็นความตายแต่ในแง่กายภาพ คือเป็นเพียงความแตกดับของร่างกาย จึงเห็นความตายเป็นเรื่องน่ากลัว เป็นเรื่องเลวร้าย เป็นสภาวะที่มีแต่ทุกข์ทรมานสถานเดียว โดยมองข้ามความจริงไปว่า แม้ร่างกายจะแตกดับ แต่เราสามารถรักษาจิตประคองใจให้สงบ ไม่ทุกข์ร้อนทุรนทรายไปกับร่างกายได้ด้วย?.........
หนังสือเล่มนี้แม่จำได้จากที่ระลึกงานศพของคุณแม่อรไท มรรคยาธร (แม่ของพี่น้องเพื่อนสนิท) ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและระหว่างการเจ็บป่วยทุกคนในบ้านพี่น้องก็ช่วยพูดคุย สวดมนต์ให้แม่ทุกๆวัน เพื่อเตรียมใจให้พร้อมจะจากไปอย่างสงบ ทุกคนที่บ้านพี่น้องตัดสินใจร่วมกันว่าจะไม่ยื้อการอยู่ของแม่ด้วยเครื่องช่วยทางการแพทย์ใดๆทั้งสิ้น จะใช้ยาก็เพียงแต่จะช่วยไม่ให้แม่เจ็บปวดทรมานเพื่อการจากไปอย่างสงบ ถึงแม่จะสื่อสารด้วยการพูดไม่ได้ แต่สายตาและการขยับร่างกายของแม่ไม่มีอาการทุรนราย จนวาระสุดท้ายของการสิ้นลม
Add as favourites
(566) |
Quote this article on your site
เขียน comment แรกของบทความนี้
เขียน Comment
ชื่อ:
E-mail
BBCode:
Comment:
Code:
*
[ ย้อนกลับ]